ท่านจงเอาใจใส่และแก้ไขในครอบครัว


ท่านจงเอาใจใส่และแก้ไขในครอบครัว
บสส  68:6
พระเจ้าทรงให้คนโสดเปลี่ยวใจได้มีครอบครัว  ...........
คำนำ      ก.พระประสงค์ของพระเจ้าในการทรงสร้าง
            -เมื่อพระเจ้ามีโครงการสร้างมนุษย์  และสร้างให้เป็นเพศชายไม่ได้ประสงค์ให้มนุษย์อยู่คนเดียว
            พระองค์ประสงค์มีชีวิตอยู่แบบครอบครัว  เพราะต่อมาพระองค์ได้สร้างผู้หญิงเป็นคู่เคียงเหมาะ
-การสมรสของมนุษย์เป็นการสร้างความเป็นอยู่ของกลุ่มคนที่แตกต่างจากสัตว์  สัตย์บางชนิดจะสร้างบ้านของตัวเอง  เช่น  นก   หนู  มันจะขนเศษสิ่งของต่างๆมาทำรังเป็นครอบครัว
      แต่สัตว์บางชนิด  เมื่อมีครอบครัว  ก็แค่หาที่อยู่เป็นที่เป็นทาง  เช่น สุนัข  มันไม่สร้างครอบครัวแต่  หาที่คลอดลูกเท่านั้น   สัตว์ส่วนใหญ่แม่จะเป็นผู้ดูแลลูกของมัน
               แต่มนุษย์ไม่ใช่สัตว์  เมื่อมีครอบครัวจะต้องดูแลเป็นอย่างดี
            ข.พระเจ้าระบุความชัดเจนในการสร้างครอบครัว
            -เรื่องอำนาจของการ   ครอบครองบ้านเรือนเป็นหน้าที่ของผู้นำครอบครัว    แล้วแต่                           
           ครอบครัว นั้นๆ  บางบ้านอาจจะไม่มีพ่อ  จึงเป็นหน้าที่ของมารดา  หรือ คุณปู่คุณย่า
         -ความรับผิดชอบของครอบครัว   ในครอบครัวที่มีพระเจ้า  พ่อต้องยอมให้พระเยซูคริสต์
         เป็นผู้นำชีวิตครอบครัวเรา   หน้าที่ของแม่  ต้องยอมให้สามีเป็นผู้นำครอบครัว  ลูกๆก็ต้อง
          ยอมรับการปกครองของพ่อแม่   ทุกอย่างต้องเป็นระบบ  ถ้าทุกอย่างไม่เป็นตามที่พระเจ้า
          กำหนด   โลกของความเป็นครอบครัวก็จะสับสน  ไม่เป็นระบบ   ชีวิตครอบครัวจะ 
           วุ่นวาย
ค.ควรจัดเรียงความสำคัญของการอยู่ร่วมกัน
            -ถ้าจะให้เป็นตามโครงสร้างของพระเจ้า  เราต้องจัดระบบด้วยการฝึกฝนในการอยู่
            ร่วมกัน  ต้องยอมรับตามกฎของพระคัมภีร์
            ฝึกฝนในการใช้เวลาร่วมกัน   อยู่ด้วยความผูกพันไม่ใช่เป็นเพราะความจำเป็นต้องอยู่
            ด้วยกัน    ถ้าจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันนั้น ไม่มีความสุข  เรารักลูกจึงอยู่กับลูก  เรารักภรรยา
            จึงอยู่กับภรรยา   ไม่ใช่เพราะเป็นหน้าที่    ครอบครัวที่มีพระเจ้าต้องอยู่ด้วยความรัก
บทเพลงสรรเสริญ  127: 3  จงดูเถิด  การมีบุตชายหญิงย่อมเป็นของประทานมาแต่พระยะโฮวาและการตั้งครรภ์นั้นคือรางวัลของพระองค์
                        ต่อไปนี้เราจะบำรุงและดูแลครอบครัวได้อย่างไร

1.การแสดงความรักความชื่นชมในครอบครัวให้มีคุณค่า
            -ไม่เป็นเรื่องแปลกที่คนเราจะรักสัตว์ และเลี้ยงไว้ดูเล่นสักอย่าง 2 อย่างบางคนรักหมาเลี้ยงหมา
            บางคนเลี้ยงแมว  บางคนเลี้ยงหนูน่ารักๆ   บางคนเลี้ยงไก่  อาจไว้ดูหรือไว้ทำอาหาร 
            แต่ถ้าใจไม่รัก  จะไม่อยากเลี้ยงไว้
-มนุษย์ไม่ใช่สัตว์  ที่นึกอยากจะเลี้ยงแล้วก็ไปหาซื้อมาเลี้ยง   แต่เราต่างหากที่สร้างเขาขึ้นมา  เราต้องแสดงความรักต่อคนที่อยู่ในครอบครัว  
            อาจจะเป็นแสดงความรักทุกวันหรือ ทุกโอกาสที่เราทำได้ เช่นวันเกิด  วันครบครอบแต่งงาน
      วันพ่อ  วันแม่    วันสำคัญๆของคนใดคนหนึ่ง   อาจสอบได้ที่ 1  หรือสอบได้คะแนนดีกว่าที่ผ่านมา     แต่การให้รางวัลพร่ำเพรื่อก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าตื่นเต้นไปก็มี  
-แต่สำหรับบางคนไม่เคยได้อะไรเป็นรางวัลพิเศษในชีวิต   น่าสงสารเด็กกำพร้าที่เขาไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้จากครอบครัว   เราต้องขอบคุณพระเจ้าที่เรามีครอบครัวที่เชื่อพระเจ้า  ถ้าเราคิดอยากได้ความรักจากคนในครอบครัวของพระเจ้า  เราต้องรักซึ่งกันและกัน

2.การยอมฟังคนในครอบครัว
            -บสส 116:1-2  ข้าพเจ้ารักพระยะโฮวาเพราะพระองค์ได้ทรงฟังน้ำเสียงและคำทูลอธิษฐานของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ได้ทรงเงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า เหตุฮะนั้นจ้าพเจ้าจะร้องทูลพระองค์ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า  พระเจ้าทรงสดับฟังเราทุกเรื่องที่เราร้องทูล
            ในทางเดียวกัน  เราในฐานะลูกก็ต้องฟัง  ยอมฟังเพื่อจะได้เข้าใจ    
            บางที่ผมก็เป็นบ้างที่ไม่ฟังลูก  แต่ทุกอย่างก็ต้องดูเหตุผล  ลูกอาจไม่เข้าใจเหตุผลของพ่อแม่  ในสิ่งที่เราให้ไม่ได้เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่ลูกต้องการนั้นมันขัดต่อ  ความขัดแย้งของเรา   เขายังเด็ก บางทีไม่เข้าใจผู้ใหญ่   ลูกไม่รู้ว่าเราเป็นห่วง  แต่ลูกกลับคิดว่าพ่อแม่ห่วงไม่เข้าท่าเลย
            บางทีเขามีสิ่งที่เราต้องฟัง  ต้องมีเหตุผลผมจึงจะฟัง   บางเรื่องลูกไม่ฟัง  เช่น เอารถไปในเมืองผมไม่ค่อยอยากให้เอาไป  รถมันเยอะ  อันตราย  เราสูญเสียน้องไปแล้วก็ไม่อยากสูญเสียลูกหลานไปอีก  ขับรถต้องระวังทั้งคนและรถ  นครสวรรค์ขับรถไม่ค่อยถูกกฏไม่รักษากฏไม่ค่อยมีน้ำใจ  อยากจะจอดก็จอดไม่เปิดไฟเลี้ยวก็มี
            -การรับฟังลูกๆ  เป็นหน้าที่แต่ก็ต้องฟังแล้วตัดสินว่าควรหรือไม่ควรทำ  พอเขาโตมาเขาจะรู้ว่า  ทำไมพ่อแม่จึงไม่อนุญาต   เด็กไม่ค่อยยอมรับในความคิดผู้ใหญ่  ผู้ใหญ่บางทีก็มองการไกลในสิ่งที่เด็กมองไม่เห็น  
            -การรับฟังกับการฟังแตกต่างกัน   การรับฟังคือฟังไว้ ไม่ได้ตัดสินใจทันที  แต่การฟังซึ่งกันและกัน  คือการแชร์ความรู้สึกต่อกัน  อารมณ์ กระทบกระเทือนต่อการฟังมาก   ฟังแล้วอารมณ์ขึ้น  ต้องระวัง    พ่อแม่ต้องหัดฟังลูกพูด  มิเช่นนั้นถ้าเราไม่ฟัง  เขาจะไปพูดกับคนอื่น
            - บางคนดีแต่พูดไม่ค่อยฟัง  ต้องหัดฟังคนอื่นเขาพูด  ฟังความเดือดร้อนคนอื่นบ้าง

3.ควรส่งเสริมลูกๆและคนในครอบครัว
            -เป็นการดีที่ลูกอยากเรียนอะไร  เราควรเน้นแต่เด็ก  ผมเข้าใจบางคนอยากส่งเสริมให้ลูกเรียนเก่งๆแต่ไม่ค่อยมีเงินส่งเสริม   ไม่ยากเราไม่มีเงินเราก็ควรสอนด้วยตัวเราเอง  หาเวลาสอนการบ้านลูกบ้าง   การได้สอนการบ้าน ทำให้เราเข้าใจลูกว่าลูกเราเรียนถึงไหนแล้ว  ลูกเราเรียนเก่งหรือไม่เก่ง  เราต้องเสริมอะไรบ้าง
            -เด็กบางคนเรียกร้องความสนใจให้พ่อแม่ดูแลเขา   อยากให้คนอื่นมาชื่นชมว่าเราเรียนเก่ง   เราทำได้   พ่อแม่บางคนไม่เคยชมลูก  ผมชอบใจวันนั้นพงษ์กับแพรว เขาตากผ้าเยอะมากไม่มีราวจะตาก  เขาก็แก้ปัญหาด้วยการทำราวเพิ่ม  ทำกันสองคนอย่างลำบากแต่เขาก็มีความพยายามทำจนได้  ไม่รู้พ่อแม่ชมหรือเปล่าว่าลูกเก่ง
            -คนในครอบครัวเป็นทุกคน  โดยเฉพาะลูก  สนใจหนูหน่อยซิ   ส่งเสริมให้ลูกรักการอ่าน  ผมชอบที่หนูดีชอบเดินหาหนังสืออ่าน    แต่อ่านนิยายมากก็ไม่ค่อยดี   ผมอยากให้อ่านความรู้ทั่วไป  เราควรส่งเสริมการอ่านแก่เด็กๆ  อ่านพระคัมภีร์ก็ดี  ที่บ้านเราแม่เขาจะพาลูกๆอ่านพระคัมภีร์ทุกวันศุกร์

4.ฝึกอบรมให้อยู่ในระเบียบ มีวินัยตามกรอบของครอบครัว
-ทุกบ้านต้องมีกรอบ  มีระบบ   มีแผนในการอยู่ด้วยกัน    ทุกบ้านของคริสเตียนต้องฝึกให้ลูกมีระบบในการใช้ชีวิต  มีกรอบที่ควรอยู่  สร้างกรอบไว้ไม่ให้ออกนอกลู่  ไม่ไปดูหนังโป๊  ไม่เที่ยวกลางคืนไม่คบเพื่อนกินเหล้าสูบบุหรี่  ไม่มีเพื่อนเป็นนักเลง
-สอนให้ลูกมีพระเจ้า  ไม่เอาพระพุทธเข้ามาในบ้าน  ไม่ให้ลูกเราใส่หรือผูกด้ายสายสิญจน์  ไม่ให้ลูกแขวนพระห้อยพระ   สอนเขาให้รู้ว่าเรามีพระเจ้า  อยู่ในกรอบ
ของการเป็นคริสเตียน   ไม่ใช่สอนลูกแต่แอบไปทำไม่ให้ลูกรู้  ถึงลูกรู้ก็ห้ามลูกอย่าไปบอกใครในโบสถ์
      -มีการลงวินัยกับลูก  เมื่อลูกทำผิดควรตี  แต่ไม่ตีให้ตาย  ในห้องประชุมเราต้องมีวินัยในการให้เขานั่งฟัง   ลูกทำผิดต้องตี   เฮ็บราย  12:11   การตีสอนทุกอย่างเมื่อกำลังถูกอยู่นั้นไม่เป็นการชื่นใจเลยแต่เป็นการเศร้าใจแต่ภายหลังก็กระทำให้เกิดผลเป็นความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้องทรอยู่นั้นคือความชอบธรรมนั้นเอง

5.การระวังในการใช้คำพูด
            อะไรบ้างที่เราควรระวังในการใช้คำพูดในครอบครัว
            1)การพูดพร่ำเพรื่อ  พูดไม่รู้จบ  ไม่เป็นเฉพาะผู้หญิงบางทีผู้ชายก็เป็นไม่รู้จบ   ผู้หญิงพูดมากๆก็เหมือนฝนตกพรำๆ   ดูสุภาษิต  28;15
            2)การพร่ำด่า  ขุดเอามาพูด  จำไม่รู้ลืม  โกรธเมื่อไรก็ขุดมาพูด
            3)การพูดหยาบคาย   คำโลนลามกไม่สุภาพ ต้องระวัง
            4)การพูดตำหนิให้ช้ำใจ   ว่าแล้วว่าอีกให้เสียใจ    พูดซ้ำเติมให้เจ็บใจ
            5)การพูดเสียดสี   กระแทกแดกดัน   พูดแขวะให้อีกฝ่ายได้เจ็บ
                  ทุกอย่างเราต้องเปลี่ยนหมด  พูดแบบคริสเตียนพูดอย่างให้กำลังใจ 

สรุป    เราต้องเห็นความสำคัญของครอบครัวก่อนจึงจะรู้จักใช้สิ่งเหล่านี้  ถ้าเรามองไม่เห็นความสำคัญ
            เราก็ไม่มีใจที่จะทำ 
            รักครอบครัว ต้องสร้างให้ครอบครัวอบอุ่น  ไม่มีใครขาดความรัก  เติมให้ครอบครัวอิ่มเอมใจ
               ครอบครัวที่สมบูรณ์ ต้องมีพระเจ้าเป็นผู้นำ  และให้พระเยซูเป็นผู้ครอบครองบ้านเรือนเป็นที่ปรึกษาของเรา 
            เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกๆ  เพราะเขาต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง   คริสตจักรก็ต้องการผู้นำที่เข้มแข็งและสมบูรณ์  ไม่ให้ใครมาตำหนิครอบครัวพระเจ้าว่าไม่เอาไหน